ความรู้จะสามารถช่วยให้เราสามารถรักษาตัวเองให้รอดได้และเป็นสิ่งมีค่าที่จะติดตัวเราไปทุกที่มากกว่าทรัพย์สินสิ่งของใดๆ
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
ประเภทสำนวน
"รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดโดยตรง มีความชัดเจนในตัวเอง เป็นประโยคสมบูรณ์ที่ให้คำสอนเกี่ยวกับคุณค่าของการศึกษาและการรักษาตัว ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนให้คนเห็นคุณค่าของการศึกษาหาความรู้และการรู้จักป้องกันตัวเอง โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 'รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา' สอนว่าการมีความรู้ทางวิชาการมีค่ามากกว่าการรู้สิ่งอื่นใด ส่วนที่สอง 'รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี' สอนว่าทักษะที่ดีที่สุดคือการรู้จักรักษาตัวให้พ้นภัยและความทุกข์ยาก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" ในประโยค
- พ่อแม่มักสอนลูกว่า 'รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี' เพื่อให้ลูกตั้งใจเรียนและรู้จักระมัดระวังตัว
- คุณครูสอนนักเรียนเสมอว่า 'รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี' ความรู้จะติดตัวเราไปตลอดชีวิต
- ในยามวิกฤต เราจะเห็นคุณค่าของคำสอน 'รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี' เพราะทั้งความรู้และไหวพริบจะช่วยให้เราผ่านพ้นปัญหาได้
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี