อยู่อย่างสะดวกสบายไม่ลำบาก อยู่ไปเฉย ๆ นอนตื่นสายไม่ทำอะไรก็มีอยู่มีกินมีใช้
เปรียบคนที่มีข้าวร้อน ๆ กินทุกวัน คนที่นอนตื่นสายได้ทุกวัน อะไรมันจะสบายแบบนี้ไม่มีแล้ว
ประเภทสำนวน
"กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างสบาย ให้คำสอนและข้อคิดโดยตรงที่ครบถ้วนในตัวเอง ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
เป็นสุภาษิตที่สอนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย โดยไม่ต้องรีบร้อน มีความหมายว่า การใช้ชีวิตที่สบายคือ การได้กินอาหารที่อุ่นร้อน และการได้นอนตื่นสายโดยไม่ต้องรีบร้อน แสดงถึงการมีชีวิตที่ไร้ความกังวล มีความเป็นอยู่ที่ดี
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย" ในประโยค
- ตอนนี้เกษียณแล้ว ชีวิตเหมือนกินข้าวร้อนนอนตื่นสาย ไม่ต้องรีบเร่งเหมือนตอนทำงาน
- พอลาออกจากงานแล้วมาทำธุรกิจเอง ชีวิตก็เป็นอิสระ กินข้าวร้อนนอนตื่นสาย จัดการเวลาได้ตามใจชอบ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี