อยากได้มาก ๆ เช่น อย่างหนึ่งทุจริตคิดร้ายผัว อีกอย่างมัวโลภโมโทสัน. (ขุนช้างขุนแผน).
ประเภทสำนวน
"โลภโมโทสัน" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ชัดเจนเกี่ยวกับอกุศลมูลในพุทธศาสนา ให้ข้อคิดโดยตรงเกี่ยวกับการละเว้นความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ มีลักษณะเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ในตัวเอง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
โลภ-โม-โทสัน มาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า อกุศลมูล (รากเหง้าของความชั่ว) 3 ประการ ได้แก่ โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลง) ซึ่งในสำนวนไทยเรียกสั้นๆ ว่า โลภ-โม-โทสัน เพื่อง่ายต่อการจดจำ โดยที่ 'โม' คือ โมหะ (ความหลง) และ 'โทสัน' คือ โทสะ (ความโกรธ) หลักธรรมนี้สอนให้เห็นว่า กิเลสทั้งสามประการนี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์และการกระทำชั่วทั้งปวง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "โลภโมโทสัน" ในประโยค
- ผู้เฒ่ามักจะสอนหลานๆ เสมอว่า อย่าให้โลภโมโทสันเข้าครอบงำจิตใจ เพราะจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง
- พระอาจารย์เทศน์ให้ญาติโยมละเว้นโลภโมโทสัน เพราะเป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งปวง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี