เวลาที่ผู้ใหญ่ที่ตนเกรงกลัว หรือผู้ที่คอยคุมพฤติกรรมไม่อยู่ ผู้น้อยก็จะดีใจ มีความสุขร่าเริง
เปรียบเปรยถึง เมื่อบ้านไหนที่แมวไม่อยู่หรือไม่มีแมว พวกหนูก็จะมีความสุขคึกคะนอง ออกมาหากินได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะไม่ต้องกลัวแมวจะมาทำร้าย
แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"แมวไม่อยู่หนูละเลิง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝงต้องตีความเพิ่มเติม มีการเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างแมวและหนู เพื่อสื่อถึงพฤติกรรมมนุษย์
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้มีที่มาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของแมวและหนู โดยแมวเป็นสัตว์ที่จับหนูกิน เมื่อแมวอยู่ หนูย่อมหลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อแมวไม่อยู่ หนูก็จะออกมาเพ่นพ่าน เที่ยวไปมาอย่างเสรี โดยไม่มีความกลัว เปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เมื่อผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจไม่อยู่ ผู้น้อยหรือลูกน้องก็จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำตัวเกินขอบเขต
ตัวอย่างการใช้สำนวน "แมวไม่อยู่หนูละเลิง" ในประโยค
- พอผู้จัดการไปประชุมต่างจังหวัด พนักงานก็แมวไม่อยู่หนูละเลิง ไม่มีใครทำงาน มัวแต่คุยกันเล่นเกมกันทั้งวัน
- อาจารย์ประจำชั้นเพิ่งออกจากห้องไป เด็กๆ ก็แมวไม่อยู่หนูละเลิง ส่งเสียงดังโวยวาย วิ่งเล่นกันจนโต๊ะเก้าอี้ระเกะระกะไปหมด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี