รู้วิธีทำก็ต้องรู้วิธีแก้ไข, สร้างปัญหาเองก็ต้องรู้จักแก้เอง
ประเภทสำนวน
"เรียนผูกต้องเรียนแก้" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดโดยตรงและชัดเจน มีลักษณะเป็นประโยคที่สมบูรณ์ในตัวเอง เข้าใจได้ทันทีตามความหมายที่ปรากฏ โดยไม่ต้องตีความซับซ้อน สอนให้ผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการเรียนรู้เกี่ยวกับคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์ในสมัยโบราณ เมื่อเรียนวิชาที่อาจเป็นอันตรายหรือส่งผลกระทบต่อผู้อื่น จำเป็นต้องเรียนวิธีแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย สอนให้รู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่ตนเองก่อขึ้น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เรียนผูกต้องเรียนแก้" ในประโยค
- ถ้าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI ในการทำงาน ก็ต้องศึกษาผลกระทบและวิธีรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วย เรียนผูกต้องเรียนแก้ จึงจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
- คนที่เป็นหัวหน้าต้องรู้จักทั้งวิธีสั่งงานและวิธีแก้ปัญหาเมื่อทีมทำงานผิดพลาด เรียนผูกต้องเรียนแก้ นี่เป็นหลักการบริหารที่ดีเสมอ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี