ตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่ว่าจะถูกกระทำดีหรือร้าย พอใจ หรือไม่พอใจก็ตาม
ประเภทสำนวน
"หวานอมขมกลืน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และมีลักษณะการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบกับการที่เรารับประทานของหวานเข้าไป แล้วรู้สึกหวานที่ปาก แต่เมื่อกลืนลงไปกลับมีรสขม สะท้อนถึงสถานการณ์ที่คนเราต้องแสดงออกอย่างหนึ่ง (ที่ดี น่าพอใจ) แต่ในใจกลับรู้สึกตรงกันข้าม ต้องอดทนและยอมรับสภาพที่ไม่น่าพอใจ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หวานอมขมกลืน" ในประโยค
- ถึงจะไม่พอใจที่เพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เธอก็ต้องหวานอมขมกลืนแสดงความยินดีในที่ประชุม
- เขาต้องหวานอมขมกลืนทำงานกับคนที่เคยนินทาเขาลับหลัง เพราะเป็นคำสั่งจากเจ้านาย
- แม้จะรู้สึกขัดใจกับการตัดสินใจของผู้ใหญ่ แต่เธอก็ต้องหวานอมขมกลืนยอมรับและไม่แสดงความไม่พอใจออกมา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี