ประเภทสำนวน
"หน้าไหว้หลังหลอก" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมคนที่มีลักษณะไม่จริงใจ มีสองหน้า แสดงออกชัดเจนว่าต้องตีความเป็นนัย ไม่ใช่คำสอนโดยตรง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบการกระทำที่แสดงออกอย่างหนึ่งต่อหน้า แต่ลับหลังกลับทำอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการแสดงความเคารพหรือนอบน้อมต่อหน้า แต่ลับหลังกลับทรยศหรือหลอกลวง สะท้อนลักษณะของคนที่มีสองมาตรฐาน ไม่จริงใจ และไม่น่าไว้วางใจ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หน้าไหว้หลังหลอก" ในประโยค
- เขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าพูดดีแต่ลับหลังกลับนินทาว่าร้าย
- อย่าไปเชื่อใจนักการเมืองคนนั้นเลย เขาเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก หาเสียงว่าจะช่วยชาวบ้าน แต่พอได้ตำแหน่งกลับช่วยแต่พวกพ้องตัวเอง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี