มีอาชีพทางค้าขายสู้รับราชการไม่ได้ เพราะเป็นพ่อค้าย่อมมีวันขาดทุน แต่ถ้ารับราชการก็มีเจ้านายชุบเลี้ยง มีชื่อเสียง และเงินทอง ไม่มีทางขาดทุน
ประเภทสำนวน
"สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเทียบอาชีพสองกลุ่มคือพ่อค้ากับขุนนาง (พระยาเลี้ยง) เพื่อสื่อความหมายแฝง ผู้ฟังต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษเหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากสังคมไทยในอดีต เปรียบเทียบระหว่างอาชีพค้าขายกับการรับราชการ โดยเฉพาะตำแหน่งขุนนางที่มียศสูง (พระยาเลี้ยง) สะท้อนค่านิยมในสมัยก่อนที่คนนิยมรับราชการมากกว่าค้าขาย เพราะการเป็นขุนนางมีเกียรติ มีอำนาจ และมั่นคงกว่า แม้พ่อค้าจะมีจำนวนมาก (สิบคน) ก็ยังไม่อาจเทียบความมั่งคั่งและสถานภาพทางสังคมกับขุนนางได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง" ในประโยค
- ถึงจะมีรายได้ดีจากการทำธุรกิจ แต่พ่อก็ยังอยากให้ลูกสอบเข้ารับราชการ เพราะเชื่อว่าสิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง
- สมัยก่อนคนไทยมีค่านิยมว่าสิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง แต่ปัจจุบันค่านิยมนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว เพราะนักธุรกิจอาจมีรายได้และชื่อเสียงมากกว่าข้าราชการ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี