กล่าวให้ร้ายซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความเสียหายกันทั้งสองฝ่าย
ประเภทสำนวน
"สาดน้ำรดกัน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยถึงการกระทำบางอย่างที่มีลักษณะเป็นการโต้ตอบ ทำร้ายกันไปมา ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และต้องตีความเพิ่มเติม
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงการทะเลาะวิวาทกัน โดยต่างฝ่ายต่างเปิดเผยความลับหรือเรื่องไม่ดีของอีกฝ่ายให้คนอื่นรู้ เหมือนการสาดน้ำใส่กัน เมื่อคนหนึ่งเริ่มสาด อีกคนก็สาดกลับ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเปียกและเสียหายทั้งคู่ เปรียบได้กับการนำความไม่ดีของกันและกันมาเปิดเผย ทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียชื่อเสียง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "สาดน้ำรดกัน" ในประโยค
- หลังจากที่ทั้งสองคนเลิกกัน ก็ออกมาสาดน้ำรดกันในโซเชียลมีเดีย เปิดเผยทั้งเรื่องส่วนตัวและความลับของกันและกัน
- การที่นักการเมืองสองคนนี้ออกมาสาดน้ำรดกัน นำข้อมูลความไม่โปร่งใสของอีกฝ่ายมาเปิดเผย ทำให้ทั้งคู่เสียภาพลักษณ์ไปตามๆ กัน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี