การวิวาทหรือต่อสู้กันต่อหน้าหญิงที่ตนหมายปอง
ประเภทสำนวน
"ศึกหน้านาง" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า คำว่า 'ศึกหน้านาง' เป็นวลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษไม่สามารถแปลความหมายตรงตัวได้ ซึ่งหมายถึงการต่อสู้หรือการแข่งขันที่มีผู้หญิงเป็นสาเหตุ มีลักษณะเป็นการเรียกเฉพาะเจาะจงสำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งประเภทนี้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากวรรณคดีและประวัติศาสตร์ไทย ที่มักมีการรบพุ่งหรือขัดแย้งกันเพราะผู้หญิง เช่น การแย่งชิงนางสนมหรือหญิงงาม ในวรรณคดีหลายเรื่องมีการทำสงครามเพราะต้องการได้หญิงงามมาเป็นคู่ครอง เช่น ศึกพระลอกับปู่เจ้าสมิงพราย หรือศึกระหว่างทศกัณฐ์กับพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ที่มีนางสีดาเป็นสาเหตุ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ศึกหน้านาง" ในประโยค
- การที่นักเรียนสองคนทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ครูจึงเรียกมาตักเตือนและบอกว่า 'ศึกหน้านางนี่มันไม่เข้าท่า หยุดทะเลาะกันได้แล้ว'
- งานเลี้ยงรุ่นเกือบกลายเป็นศึกหน้านาง เมื่อรุ่นพี่สองคนที่เคยแย่งชิงรุ่นน้องสาวคนเดียวกันสมัยเรียน มาเจอกันอีกครั้ง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี