ยังเป็นเหมือนเด็กไม่มีความคิด
เป็นการว่ากล่าวตำหนิคนที่ชอบอวดดี คิดว่าตนเองเก่งกว่าผู้อื่น
ประเภทสำนวน
"ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดโดยตรงเกี่ยวกับการพูดจาอ่อนน้อมต่อผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโสกว่า มีความชัดเจนในตัวเอง ไม่ต้องตีความมาก สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นคำสอนเรื่องความกตัญญู
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ โดยใช้คำว่า 'น้ำนม' แทนพระคุณที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มอบให้ ส่วน 'ปาก' หมายถึงการพูดจา สุภาษิตนี้สอนว่าแม้เราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่ควรลืมพระคุณของผู้ที่เลี้ยงดูเรามา และควรพูดจาด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม" ในประโยค
- ถึงคุณจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแค่ไหน ก็อย่าลืมว่าปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ควรพูดจากับพ่อแม่ด้วยความอ่อนน้อม
- เขาเป็นคนที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจริงๆ แม้จะเป็นถึงผู้บริหารบริษัทใหญ่ แต่ก็ยังพูดจาสุภาพกับครูบาอาจารย์เสมอ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี