พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ปากกับใจไม่ตรงกัน
ประเภทสำนวน
"ปากว่าตาขยิบ" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมที่พูดอย่างแต่แสดงท่าทางอีกอย่าง มีความหมายแฝงที่ต้องตีความ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้เหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สะท้อนพฤติกรรมของคนที่พูดอย่างหนึ่ง แต่กลับแสดงท่าทางหรือสีหน้าที่สื่อความหมายอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อ 'ขยิบตา' ซึ่งมักเป็นการส่งสัญญาณลับระหว่างผู้ร่วมสนทนา แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจหรือมีเจตนาซ่อนเร้น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ปากว่าตาขยิบ" ในประโยค
- เขาบอกว่าไม่ได้สนใจหญิงสาวคนนั้น แต่พอเธอเดินผ่านก็กลับมีอาการปากว่าตาขยิบ ส่งสายตาให้กันตลอด
- นักการเมืองคนนี้เป็นคนปากว่าตาขยิบ พูดว่าจะทำเพื่อประชาชน แต่กลับทำสัญญาณให้พวกพ้องรับผลประโยชน์ลับหลัง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี