ประเภทสำนวน
"บ้วนน้ำลายแล้วกลืน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมที่ขัดแย้งในตัวเอง เปรียบการกระทำที่ขัดกับคำพูดหรือการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ต้องตีความเพิ่มเติมจึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบกับการที่คนเราบ้วนน้ำลายออกมาแล้วกลับกลืนเข้าไปใหม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งในตัวเอง และดูไม่เหมาะสม ใช้เปรียบถึงการกลับคำพูด เปลี่ยนใจ หรือทำตรงข้ามกับที่เคยประกาศไว้ โดยเฉพาะเมื่อเคยประกาศอย่างเด็ดขาดแล้ว
ตัวอย่างการใช้สำนวน "บ้วนน้ำลายแล้วกลืน" ในประโยค
- เธอเพิ่งประกาศลาออกจากบริษัทอย่างจริงจัง แต่อีกไม่กี่วันกลับมาทำงานเหมือนเดิม นี่มันบ้วนน้ำลายแล้วกลืนชัดๆ
- นักการเมืองคนนั้นเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรคนี้เด็ดขาด แต่พอเลือกตั้งเสร็จกลับวิ่งเข้าหาเป็นคนแรก ทำบ้วนน้ำลายแล้วกลืนให้ประชาชนเห็นชัดๆ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี