ประเภทสำนวน
"ตีหลายหน้า" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมของมนุษย์ ที่มีลักษณะไม่จริงใจ มีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม แต่ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่ยากจะแปลความหมายแบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการแสดงละครหรือการแสดงบทบาทต่างๆ ที่ผู้แสดงต้องรับบทหลายบทหรือหลายตัวละคร เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของคนที่แสดงออกไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง หรือพูดและทำตัวไม่เหมือนกันต่อคนต่างกลุ่ม แสดงตัวดีกับคนนี้แต่ไปพูดลับหลังกับอีกคน มีเล่ห์เหลี่ยมและหลอกลวง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตีหลายหน้า" ในประโยค
- เธอเชื่อคำพูดของเขาไม่ได้หรอก เขาเป็นคนตีหลายหน้า เวลาอยู่ต่อหน้าก็พูดดี แต่พอลับหลังก็นินทา
- ผู้บริหารคนนั้นตีหลายหน้าจนทีมงานไม่ไว้วางใจ ปากว่าสนับสนุนโครงการแต่กลับไปคัดค้านในที่ประชุมใหญ่
- การตีหลายหน้าอาจทำให้ได้ประโยชน์ระยะสั้น แต่เมื่อคนอื่นจับได้ จะไม่มีใครเชื่อถือเราอีกเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี