เข้าทําในตอนหลังหรือในระยะหลัง
การงานอะไรที่ทำในช่วงแรกอาจไม่สำเร็จแต่ถ้าเปลี่ยนมาทำในภายหลังอาจจะประสบผลสำเร็จมากกว่า เหมือนการจับปลาที่จับปลาในท้ายน้ำได้ง่ายกว่าต้นน้ำ
ประเภทสำนวน
"ตีท้ายน้ำ" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยพฤติกรรมคนที่คอยสังเกตท่าทีหรือความคิดเห็นของผู้อื่นก่อน แล้วค่อยเลือกฝ่าย โดยต้องตีความนัยยะ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่คำเฉพาะที่ไม่สามารถแปลความหมายตรงตัวได้เลยเหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการเดินทางทางน้ำในอดีต เวลาที่คนใช้เรือสัญจร จะใช้ไม้พายกระทบน้ำเพื่อดูทิศทางและความแรงของกระแสน้ำก่อนตัดสินใจพายเรือหรือเลือกเส้นทาง เปรียบเทียบกับคนที่ไม่แสดงความคิดเห็นหรือจุดยืนของตนเองก่อน แต่จะคอยสังเกตท่าทีหรือความคิดเห็นของผู้อื่น แล้วค่อยแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจเข้าข้างฝ่ายที่เห็นว่าได้เปรียบหรือมีประโยชน์กับตนเอง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตีท้ายน้ำ" ในประโยค
- ฉันไม่อยากทำงานกับคนที่ชอบตีท้ายน้ำ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง รอดูท่าทีของหัวหน้าก่อนเสมอ
- นักการเมืองคนนั้นไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ชอบตีท้ายน้ำ ดูกระแสก่อนว่าประชาชนเอียงไปทางไหนแล้วค่อยพูด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี