การยอมรับผิดแต่ไม่สมกับความผิดที่ทำไว้
ประเภทสำนวน
"ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม แสดงการเปรียบเทียบพฤติกรรมของคนที่ทำผิดต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผย แต่กลับขอโทษอย่างลับๆ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่คำเฉพาะที่ต้องตีความแบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้กล่าวถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้อง คือการประจานหรือทำให้ผู้อื่นอับอายในที่สาธารณะ (ตบหัวกลางศาลา) แต่เมื่อจะขอโทษหรือแสดงความสำนึกผิด กลับทำอย่างลับๆ ในที่ส่วนตัว (ขอขมาที่บ้าน) ซึ่งเป็นการแสดงความไม่จริงใจและไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตน เพราะการขอโทษควรทำด้วยความจริงใจและในที่เดียวกับที่ทำผิด
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้าน" ในประโยค
- เธอด่าฉันต่อหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งแผนก แล้วส่งข้อความมาขอโทษส่วนตัว นี่มันตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้านชัดๆ
- ผู้จัดการคนนี้ชอบตำหนิพนักงานในที่ประชุม แต่พอรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด ก็แอบมาบอกทีละคน เป็นพฤติกรรมตบหัวกลางศาลา ขอขมาที่บ้านที่ไม่ควรทำ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี