พัวพันเกี่ยวโยงกันไปเป็นทอด ๆ จนหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ประเภทสำนวน
"งูกินหาง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเปรยที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงและไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ทันทีจากการอ่านตรงตัว
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
มาจากภาพของงูที่เริ่มกินส่วนหางของตัวเองไปเรื่อยๆ จนเป็นวงกลม เปรียบกับสถานการณ์ที่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ไม่มีที่สิ้นสุด หรือการแก้ปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้น แก้ปัญหาหนึ่งแล้วกลับไปสร้างปัญหาใหม่ที่เชื่อมโยงกับปัญหาเดิม จนเกิดเป็นวงจรที่ไม่สามารถหาจุดจบได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "งูกินหาง" ในประโยค
- รัฐบาลกู้เงินมาใช้หนี้เก่าแล้วก็ไปกู้ใหม่อีก เป็นแบบงูกินหางไม่มีทางออกจากวงจรหนี้เลย
- การแก้ปัญหาน้ำท่วมของเมืองนี้เป็นงูกินหาง แก้ตรงนี้เสร็จก็เกิดปัญหาตรงนั้น แก้เสร็จก็วนกลับมาที่เดิม ไม่จบสักที
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี