แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกำลัง,แพ้แล้วพาล
ประเภทสำนวน
"ขี้แพ้ชวนตี" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นการเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และยังชักชวนให้เกิดการทะเลาะวิวาทต่อ มีลักษณะการเปรียบเทียบที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต หรือคำที่มีความหมายเฉพาะแบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้สะท้อนพฤติกรรมของคนที่แพ้หรือเสียเปรียบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ กลับหาเรื่องทะเลาะวิวาทเพื่อเอาชนะในรูปแบบอื่น เป็นการกล่าวถึงผู้ที่มีนิสัยอ่อนแอในการยอมรับความจริง และมักสร้างปัญหาเพิ่มเติมแทนที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขี้แพ้ชวนตี" ในประโยค
- เขาเป็นคนขี้แพ้ชวนตี เถียงไม่ชนะก็ท้าตีกัน
- ทีมฟุตบอลฝั่งตรงข้ามรู้ว่าแพ้แล้ว แต่ก็ยังขี้แพ้ชวนตี เข้ามาเล่นรุนแรงกับนักเตะเรา
- อย่าไปคุยกับเขาเลย รู้อยู่ว่าเขาเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี เถียงแพ้ทีไรก็ต้องมีเรื่อง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี