ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, เป็นกลาง, คงความเป็นตัวของตัวเอง, ไม่เห็นแก่หน้าใคร, เช่น เขาตัดสินไม่เข้าใครออกใคร ปืนไม่เข้าใครออกใคร
ประเภทสำนวน
"ไม่เข้าใครออกใคร" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเปรยที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นคำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่สำนวนไทยที่แปลตรงตัวไม่ได้ แต่เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมมนุษย์
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้อธิบายลักษณะของคนที่วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างหรือเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มักใช้กับสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีหลายฝ่าย ซึ่งคนที่ 'ไม่เข้าใครออกใคร' จะไม่แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายใด หรือไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับฝ่ายใดเป็นพิเศษ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ไม่เข้าใครออกใคร" ในประโยค
- ในฐานะผู้พิพากษา เขาต้องไม่เข้าใครออกใคร ต้องตัดสินตามข้อเท็จจริงและหลักฐานเท่านั้น
- เรื่องทะเลาะกันในครอบครัว ฉันไม่เข้าใครออกใคร ขอวางตัวเป็นกลางดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี