แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจ
ประเภทสำนวน
"เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมที่ต้องตีความเพิ่มเติม เน้นการเปรียบเทียบลักษณะนิสัยของคนที่ไม่สนใจเรื่องที่ควรสนใจ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่สำนวนเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องที่ควรให้ความสนใจ 'เอาหูไปนา' คือไม่ยอมฟัง 'เอาตาไปไร่' คือไม่มองหรือทำเป็นมองไม่เห็น เปรียบเสมือนเอาหูและตาไปทิ้งไว้ที่นาและไร่ซึ่งอยู่ไกลตัว จึงไม่ได้ยินและไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" ในประโยค
- ฉันเตือนเขาเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ยอมแก้ไขสักที
- คุณครูกำลังสอนเรื่องสำคัญแท้ๆ เธอเองกลับเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มัวแต่เล่นมือถือ ยังงี้สอบได้คะแนนดีได้ยังไง
- ปัญหาในบ้านเมืองเยอะแยะขนาดนี้ รัฐบาลยังคงเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ยอมแก้ไขอะไรเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี