คนที่ชอบทำงานเอาหน้า อยากได้หน้า ชอบเจ้ากี้เจ้าการ เสนอหน้าเข้าไปทำธุระให้โดยที่ผู้อื่นไม่ได้ร้องขอ
ประเภทสำนวน
"เจ้าหน้าเจ้าตา" จัดว่าเป็น สำนวนไทย เพราะว่า เป็นคำเฉพาะที่มีความหมายพิเศษ ไม่สามารถแปลความหมายตรงตัวได้ ต้องเข้าใจความหมายเฉพาะของสำนวนนี้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการสังเกตอาการของคนที่แสดงความสนใจหรือใส่ใจกับบางสิ่งมากเป็นพิเศษ จนปรากฏออกมาทางสีหน้าและแววตา ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านการแสดงออกทางหน้าตา ทำให้ผู้อื่นเห็นว่าบุคคลนั้นมีความรู้สึกพิเศษต่อสิ่งนั้นหรือบุคคลนั้น
ตัวอย่างการใช้สำนวน "เจ้าหน้าเจ้าตา" ในประโยค
- แม่สังเกตเห็นว่าน้องมักเจ้าหน้าเจ้าตาทุกครั้งที่พี่สาวเพื่อนมาที่บ้าน คงจะแอบชอบเขาแน่ๆ
- เวลาสมศรีเจอนายประจวบ เธอมักจะทำเจ้าหน้าเจ้าตาจนทุกคนในที่ทำงานรู้ว่าเธอมีใจให้เขา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี