คนที่เป็นผู้นำหรือผู้ปกครองอย่าหลงลืมตน ควรก้มมองดูลูกน้องหรือคนที่ต่ำต้อยกว่าว่าเขาเป็นอย่างไร เอาใจใส่ดูแล ฟังเสียงเขาบ้าง ส่วนคนที่เป็นลูกน้องก็สมควรทำหน้าที่ให้เรียบร้อยไม่ให้มีข้อบกพร่อง ดูแบบอย่างจากเจ้านายเพื่อนำมาพัฒนาตนเอง
ประเภทสำนวน
"อยู่สูงให้นอนคว่ำ อยู่ต่ำให้นอนหงาย" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนโดยตรงที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องตีความเพิ่มเติม และมีลักษณะเป็นคำสอนที่ชัดเจน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้สอนเรื่องการรู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับฐานะและสถานการณ์ 'อยู่สูง' หมายถึง ผู้มีอำนาจหรือฐานะสูง ควร 'นอนคว่ำ' คือ ระวังตัว ไม่ประมาท ไม่อวดอ้าง เพราะอาจตกจากที่สูงได้ง่าย ส่วน 'อยู่ต่ำ' หมายถึง ผู้มีฐานะต่ำกว่า ควร 'นอนหงาย' คือ เตรียมพร้อมรับโอกาสที่จะก้าวขึ้นไป หรือรู้จักยอมรับสิ่งที่เข้ามา
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อยู่สูงให้นอนคว่ำ อยู่ต่ำให้นอนหงาย" ในประโยค
- พ่อสอนลูกชายที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการว่า อยู่สูงให้นอนคว่ำ อยู่ต่ำให้นอนหงาย อย่าลืมเตือนตัวเองเสมอ
- ในชีวิตราชการ ผมยึดคำสอนของครูเสมอว่า อยู่สูงให้นอนคว่ำ อยู่ต่ำให้นอนหงาย ทำให้ผ่านวิกฤตมาได้หลายครั้ง
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี