หลีกเลี่ยงกระทำสัญญาหรือค้ำประกันให้คนอื่น เพราะอาจจะได้รับความเดือดร้อน
คำเต็ม ๆ คือ อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน
ประเภทสำนวน
"อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมที่อยากได้ผลประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้หมายถึง คนที่ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้แต่ไปทวงหนี้แทนเจ้าหนี้หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทวงหนี้ โดยมุ่งหวังผลประโยชน์บางอย่าง เปรียบเหมือนคนที่ชอบยุ่งเรื่องไม่ใช่ของตน หรือสอดแทรกตัวเองเข้าไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อหวังผลประโยชน์
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า" ในประโยค
- ฉันบอกเขาแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา แต่เขาก็ยังจะมายุ่ง อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า
- เธอไม่ใช่ลูกหนี้ของเขา แล้วทำไมต้องวิ่งไปช่วยเขาทวงหนี้ด้วย อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้านะสิ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี