หลีกเลี่ยงกระทำสัญญาหรือค้ำประกันให้คนอื่น เพราะอาจจะได้รับความเดือดร้อน
คำเต็ม ๆ คือ อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน
ประเภทสำนวน
"อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเปรยถึงหลักการในการเลือกทำงานหรือรับตำแหน่ง มีความหมายแฝงที่ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่การใช้คำเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้แบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีแนวคิดสะท้อนความฉลาดในการเลือกตำแหน่งหน้าที่การงาน เปรียบเทียบระหว่างการเป็น 'ขี้ข้า' (ผู้รับใช้ระดับล่าง) กับการเป็น 'นายประกัน' (ผู้ค้ำประกันหรือผู้รับรอง) โดยสื่อว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างตำแหน่งที่ดูเหมือนต่ำต้อย แต่มีความมั่นคงปลอดภัย กับตำแหน่งที่ดูมีหน้ามีตากว่า แต่มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่า
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน" ในประโยค
- คำแนะนำสำหรับคนเริ่มทำงาน อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน คือให้เลือกงานที่มั่นคงปลอดภัย ดีกว่างานที่ดูมียศถาแต่เสี่ยงต่อความรับผิดชอบสูง
- พี่ชายเตือนน้องที่กำลังจะรับตำแหน่งรักษาการผู้จัดการว่า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน อย่าไปรับตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบสูงเกินไป
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี