ใช้ในการพูดโดยอ้างพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเป็นพยานมักใช้ในความปฏิเสธเช่นต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ
ประเภทสำนวน
"อมพระมาพูด" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นสำนวนเปรียบเปรยถึงคนที่พูดจาดี แสดงตัวว่าตนเป็นคนดี แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง เป็นการเปรียบเทียบแฝงความหมายที่ต้องตีความต่อ จึงจัดเป็นคำพังเพย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการเปรียบเทียบกับการอมพระพุทธรูปหรือของศักดิ์สิทธิ์ไว้ในปาก แล้วแสร้งทำเป็นพูดจาดีงาม มีศีลธรรม เป็นคนดี แต่แท้จริงแล้วภายในใจไม่ได้เป็นเช่นนั้น เปรียบเหมือนคนที่พูดจาสุภาพ อ่อนหวาน แสดงตัวว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ในใจอาจจะคิดร้ายหรือไม่ได้ดีอย่างที่พูด
ตัวอย่างการใช้สำนวน "อมพระมาพูด" ในประโยค
- แม่ค้าคนนั้นอมพระมาพูดตลอด บอกว่าขายราคาทุน แต่พอเราต่อราคาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
- อย่าไปเชื่อคำพูดหวานๆ ของเขาเลย คนแบบนั้นอมพระมาพูด แต่เบื้องหลังทำอะไรไม่รู้กี่อย่าง
- นักการเมืองบางคนชอบอมพระมาพูด หาเสียงว่าจะทำนั่นทำนี่ แต่พอได้ตำแหน่งแล้วก็ลืมหมด
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี