คำชม หรือคำพูดเยินยอฟังแล้วก็จบไปไม่ก่อประโยชน์แต่คำติมักเป็นประโยชน์ทำให้ได้คิด
ประเภทสำนวน
"หวานเป็นลมขมเป็นยา" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝงในเชิงเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่ 'หวาน' กับสิ่งที่ 'ขม' โดยต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงอย่างสุภาษิต
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้เปรียบเทียบระหว่างคำพูดหรือการกระทำที่ให้ความรู้สึกดี (หวาน) แต่อาจเป็นโทษในภายหลัง กับคำพูดหรือการกระทำที่อาจรู้สึกไม่ดีในตอนแรก (ขม) แต่กลับเป็นประโยชน์ในระยะยาว คล้ายกับของหวานที่กินแล้วอร่อยแต่อาจทำให้เป็นลมหรือเจ็บป่วยได้ ในขณะที่ยาขมแม้จะรสชาติไม่ดีแต่กลับช่วยรักษาโรคได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ในประโยค
- คุณพ่อมักจะดุลูกๆ เรื่องการใช้จ่าย แม้จะฟังแล้วไม่สบายใจ แต่ท่านมักบอกว่า 'หวานเป็นลมขมเป็นยา' ถ้าปล่อยให้ใช้เงินตามใจก็จะเสียนิสัยในอนาคต
- คำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาของอาจารย์อาจทำให้นักเรียนรู้สึกเจ็บปวด แต่นั่นเป็นเพราะ 'หวานเป็นลมขมเป็นยา' คำติชมที่จริงใจจะช่วยให้พัฒนาตัวเองได้ดีกว่าคำชมที่ไม่จริงใจ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี