หนีภัยอันตรายอย่างหนึ่งแล้วต้องพบภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
คนที่มีความทุกข์กำลังจะได้รับอันตรายไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นแต่กลับไปพบความทุกข์อันตรายอีกจากบุคคลที่ไปขอพึ่งพิง
ประเภทสำนวน
"หนีเสือปะจระเข้" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ไม่ใช่คำสอนโดยตรง และต้องตีความเพิ่มเติม เป็นการเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่หนีจากอันตรายหนึ่งแล้วไปประสบกับอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบกับสถานการณ์อันตรายในธรรมชาติ เสือและจระเข้เป็นสัตว์ร้ายที่อันตรายทั้งคู่ คนที่วิ่งหนีเสือบนบก แล้วกระโดดลงน้ำไปเจอจระเข้ ก็ย่อมไม่พ้นอันตราย สื่อถึงการหนีปัญหาหนึ่งแล้วไปพบกับปัญหาใหม่ที่อาจร้ายแรงเท่าเดิมหรือมากกว่า
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หนีเสือปะจระเข้" ในประโยค
- หลังจากลาออกจากบริษัทที่เจ้านายโหดมาก เขาก็มาเจอเจ้านายคนใหม่ที่โหดกว่าเดิมอีก นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
- เธอหย่ากับสามีเก่าเพราะเขาเจ้าชู้ แต่มาแต่งงานใหม่กับคนที่ทั้งเจ้าชู้และขี้เมา เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้เลยทีเดียว
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"หนีเสือปะจระเข้" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเปรยที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม โครงสร้างเป็นการเปรียบเทียบสถานการณ์ที่คนหนีจากภัยหนึ่งแล้วไปเจอภัยอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่เพียงวลีสั้นๆ ที่มีความหมายเฉพาะเหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้เปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่คนพยายามหลีกหนีจากอันตรายหรือปัญหาหนึ่ง แต่กลับต้องเผชิญกับอันตรายหรือปัญหาอีกอย่างที่ร้ายแรงพอๆ กันหรือร้ายแรงกว่า เหมือนคนที่หนีจากเสือ (สัตว์ร้ายบนบก) แล้วไปเจอจระเข้ (สัตว์ร้ายในน้ำ) แทน เป็นการแสดงถึงสถานการณ์ที่ไม่มีทางออกที่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เจอแต่ปัญหา
ตัวอย่างการใช้สำนวน "หนีเสือปะจระเข้" ในประโยค
- เขาเลิกกับแฟนเก่าที่ชอบบังคับเขาทุกเรื่อง แต่กลับมาเจอแฟนใหม่ที่ขี้หึงและชอบตรวจสอบโทรศัพท์ตลอดเวลา นี่เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
- การลาออกจากบริษัทที่งานหนักเพื่อไปทำงานที่ใหม่ แต่ที่ใหม่เจอเจ้านายที่กดขี่หนักกว่าเดิม เป็นเหมือนหนีเสือปะจระเข้เลยทีเดียว
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี