ซุ่มซ่าม, ไม่ระมัดระวังให้ดี, ไม่ดูให้ดี, เช่น เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเลยตกบันได กินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้าเลยท้องเสีย
ประเภทสำนวน
"สุ่มสี่สุ่มห้า" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้แบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำว่า 'สุ่ม' หมายถึงการทำอย่างไม่แน่นอน ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีระเบียบ ส่วนคำว่า 'สี่ห้า' แสดงถึงความไม่แน่นอนของจำนวน สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำอะไรโดยไม่มีแบบแผน ทำไปเรื่อยๆ ตามใจชอบ โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องหรือความเหมาะสม
ตัวอย่างการใช้สำนวน "สุ่มสี่สุ่มห้า" ในประโยค
- เขาทำงานแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่มีการวางแผนหรือจัดระบบอะไรเลย ผลงานเลยออกมาไม่ดี
- อย่าเข้าไปจัดของในห้องแบบสุ่มสี่สุ่มห้านะ มีระบบระเบียบหน่อย ไม่งั้นหาของไม่เจอหรอก
- เด็กคนนี้ทำการบ้านแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้ใช้ความคิดให้รอบคอบเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี