คนเราแม้จะมีความรู้สูงอย่างนักปราชญ์ ก็อาจผิดพลาดได้เหมือนกัน ทุกคนจึงไม่ควรประมาท แม้สัตว์สี่เท้าเช่น วัวควายซึ่งมีสี่เท้าก็ยังอาจก้าวพลาดถึงล้มลงได้
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นถ้อยคำที่ให้คำสอนหรือข้อคิดโดยตรง มีความชัดเจนในการสื่อสารหลักธรรมเรื่องความไม่ประมาท มีความสมบูรณ์ในตัวเอง และเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องตีความซับซ้อน
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มีที่มาจากการเปรียบเทียบระหว่างสัตว์สี่เท้าซึ่งมีเท้ายันพื้นถึงสี่ขา น่าจะเดินได้มั่นคงกว่าคนที่มีแค่สองขา แต่บางครั้งก็ยังสะดุดล้มได้ เช่นเดียวกับนักปราชญ์หรือคนฉลาดที่ถึงแม้จะมีความรู้มาก แต่ก็ยังอาจผิดพลาดได้ สอนให้ทุกคนยอมรับความผิดพลาดของกันและกัน ไม่ควรถือโทษหรือซ้ำเติมผู้อื่นเมื่อทำผิดโดยไม่ตั้งใจ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" ในประโยค
- อย่าไปซ้ำเติมเขาเลย สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ใครๆ ก็ทำผิดได้ทั้งนั้น
- แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เราควรให้โอกาสและอภัย
- คุณพ่อบอกว่าไม่เป็นไร สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ครั้งหน้าก็ระวังให้มากขึ้น
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี