ประเภทสำนวน
"น้ำมาปลากินมดน้ำลดมดกินปลา" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นจริงของสังคมและมีความหมายแฝงที่ต้องตีความ สะท้อนหลักคิดให้เข้าใจถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์หรือโชคชะตา
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากธรรมชาติที่เมื่อน้ำท่วม ปลาจะมีโอกาสว่ายเข้าไปกินมดที่อยู่ตามพื้นดินหรือต้นไม้ต่างๆ แต่เมื่อน้ำลด ปลาจะติดอยู่ตามแอ่งน้ำหรือถูกน้ำพัดมาติดบนบก ทำให้มดสามารถกินปลาได้บ้าง สำนวนนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจหรือสถานะตามสถานการณ์ที่ผันแปร คนที่เคยมีอำนาจเหนือกว่าอาจกลายเป็นผู้ด้อยอำนาจในภายหลัง และในทางกลับกัน
ตัวอย่างการใช้สำนวน "น้ำมาปลากินมดน้ำลดมดกินปลา" ในประโยค
- ในวงการธุรกิจตอนนี้ บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่กำลังประสบปัญหาล้มละลาย ส่วนบริษัทเล็กๆ กลับรุ่งเรือง เป็นเรื่องของน้ำมาปลากินมดน้ำลดมดกินปลา
- เมื่อก่อนเราเคยเป็นลูกน้องเขา ต้องคอยรับใช้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เรากลายเป็นเจ้านายเขาแทน นี่แหละที่เรียกว่าน้ำมาปลากินมดน้ำลดมดกินปลา
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี