สิ่งบางอย่างที่มีพละกำลังน้อยกว่า มักจะพ่ายแพ้สิ่งที่มีกำลังหรืออำนาจที่มากกว่า
ประเภทสำนวน
"น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" จัดว่าเป็น สุภาษิต เพราะว่า เป็นคำสอนที่ชัดเจน ให้ข้อคิดโดยตรงและมีความสมบูรณ์ในตัวเอง มีลักษณะเป็นธรรมชาติที่เข้าใจได้ทันทีว่าเมื่อมีน้ำน้อย ย่อมไม่สามารถต้านทานไฟได้ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคนที่มีกำลังน้อยกว่า
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สุภาษิตนี้มีที่มาจากธรรมชาติที่ว่า น้ำปริมาณน้อยไม่สามารถดับไฟที่มีกำลังแรงกว่าได้ ใช้สอนให้รู้จักประเมินสถานการณ์และกำลังของตน ไม่ควรไปต่อสู้หรือขัดแย้งกับผู้ที่มีอำนาจหรือกำลังมากกว่าตนเอง เพราะมีโอกาสพ่ายแพ้หรือเสียหายได้มาก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" ในประโยค
- พนักงานเพียงไม่กี่คนจะไปประท้วงเรียกร้องเงินเดือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็เหมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ควรหาทางอื่นที่ดีกว่า
- แม่เตือนลูกไม่ให้ไปมีเรื่องกับเด็กกลุ่มใหญ่ เพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าจะดีกว่า
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี