ผู้ที่ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูแล้วมักทรยศ
ประเภทสำนวน
"นกกระจอกเลี้ยงไม่เชื่อง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำที่ใช้เปรียบเปรยถึงลักษณะของคนบางประเภท โดยเปรียบเทียบกับธรรมชาติของนกกระจอกที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ มีความหมายแฝงที่ต้องตีความต่อ ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่คำเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้แบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากธรรมชาติของนกกระจอก ซึ่งเป็นนกขนาดเล็กที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่มีนิสัยที่ไม่ยอมคุ้นเคยหรือเชื่องกับมนุษย์ แม้จะพยายามฝึกหรือเลี้ยงดูอย่างไร นกกระจอกก็มักจะยังคงมีนิสัยดุร้าย หวาดระแวง ไม่เชื่อง ไม่เหมือนนกชนิดอื่นที่เลี้ยงแล้วจะเชื่อง สำนวนนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงคนที่มีนิสัยดื้อรั้น ด้านชา ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือไม่สามารถฝึกสอนให้เชื่องหรือว่านอนสอนง่ายได้
ตัวอย่างการใช้สำนวน "นกกระจอกเลี้ยงไม่เชื่อง" ในประโยค
- เด็กคนนี้นกกระจอกเลี้ยงไม่เชื่อง สอนอย่างไรก็ไม่จำ ว่ากล่าวอย่างไรก็ไม่ฟัง
- อย่าเสียเวลาพยายามเปลี่ยนนิสัยเขาเลย คนแบบนี้นกกระจอกเลี้ยงไม่เชื่อง ยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยน
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี