ประเภทสำนวน
"ตีงูที่หาง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเปรยที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม เปรียบเทียบพฤติกรรมการไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยใช้ภาพของการตีงูที่หางแทนที่จะตีที่หัว
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากลักษณะของงู ซึ่งมีส่วนที่อันตรายที่สุดคือส่วนหัวที่มีพิษและฟัน การตีงูที่หางเป็นการกระทำที่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง เพราะแม้หางจะถูกตี แต่หัวยังสามารถทำอันตรายได้ สำนวนนี้จึงใช้เปรียบกับการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ทำให้ปัญหานั้นไม่หมดไปและอาจกลับมาสร้างความเดือดร้อนได้อีก
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตีงูที่หาง" ในประโยค
- รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแต่ไม่แก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า นี่เรียกว่าตีงูที่หางชัดๆ
- การจับกุมเด็กขายยาเสพติดโดยไม่จับกุมนายทุนใหญ่ เป็นเพียงการตีงูที่หาง ปัญหายาเสพติดจะไม่มีวันหมดไป
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี