ทำอะไรไม่มั่นเหมาะ จะเกิดอันตรายได้
ตีงูที่หาง ก็ว่า
ประเภทสำนวน
"ตีงูข้างหาง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรง หรือวลีเฉพาะที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มีที่มาจากการที่งูเมื่อถูกตีที่หางจะเลื้อยหนีไป แต่ยังคงอันตรายเพราะสามารถหันกลับมาโจมตีได้ เปรียบกับการทำร้ายหรือทำลายศัตรูที่ไม่ถึงกับทำให้หมดอำนาจลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้ศัตรูยังสามารถกลับมาโต้ตอบหรือแก้แค้นได้ในภายหลัง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตีงูข้างหาง" ในประโยค
- นายกฯ สั่งปลดผู้ว่าฯ แต่ไม่ได้ดำเนินคดีอะไรต่อ นี่ก็เหมือนตีงูข้างหาง เดี๋ยวก็จะหาโอกาสกลับมาล้างแค้นเอาได้
- การเพียงแค่ตักเตือนคนที่เคยทุจริตแต่ไม่ลงโทษอย่างจริงจัง เหมือนกับตีงูข้างหาง ซึ่งอาจทำให้เขากลับมาทำผิดได้อีก
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี