ไม่รู้จักของดี เช่น เขาเป็นคนตาไม่มีแวว มีของดีมาให้เลือกยังไม่ยอมเลือก
ประเภทสำนวน
"ตาไม่มีแวว" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ต้องตีความเพิ่มเติม โดยใช้ลักษณะของ 'ตา' มาเปรียบเทียบกับคุณสมบัติหรือความสามารถของคน ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่เพียงสำนวนเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากการสังเกตลักษณะของดวงตาที่ไม่มีประกายหรือแววที่แสดงถึงความฉลาดหรือไหวพริบ เมื่อมองดวงตาของคนบางคนแล้วไม่พบความเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่อง จึงเกิดเป็นสำนวนเปรียบเทียบถึงคนที่ไม่มีแววหรือทีท่าว่าจะฉลาด มีความสามารถ หรือมีอนาคตที่ดี
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตาไม่มีแวว" ในประโยค
- หลานชายของเธอตาไม่มีแววเลย ไม่คิดจะเรียนต่อให้สูง เอาแต่เล่นเกม
- แม้จะเรียนวิศวะจบแต่พอเข้ามาทำงานดูเหมือนเขาจะตาไม่มีแวว ทำงานผิดพลาดบ่อย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์
- ดาราคนนี้ตาไม่มีแววตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีผลงานโดดเด่น
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี