จะให้อะไรสักอย่างหนึ่งแก่ผู้อื่นในเมื่อผู้นั้นเต็มใจรับอยู่แล้วไม่ต้องถามว่าจะเอาหรือไม่เอาเมื่อจะให้ก็ให้ทีเดียวเหมือนกับถวายอาหารพระพระท่านจะรับของทุกอย่างไม่มีการปฏิเสธ
มักใช้แบบ ตักบาตรอย่าถามพระ
ประเภทสำนวน
"ตักบาตรถามพระ" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม เปรียบเทียบพฤติกรรมคนที่ถามในเรื่องที่ผู้ถูกถามรู้อยู่แล้ว
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้มาจากวัฒนธรรมการตักบาตรของพุทธศาสนิกชน เมื่อชาวบ้านนำอาหารมาใส่บาตรพระแล้วยังถามว่าใส่อะไรลงไป ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่จำเป็น เพราะพระย่อมเห็นอยู่แล้วว่ามีอะไรในบาตร จึงใช้เปรียบเทียบกับการถามในเรื่องที่อีกฝ่ายรู้ดีอยู่แล้ว หรือถามคนที่เป็นเจ้าของเรื่องโดยตรง
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ตักบาตรถามพระ" ในประโยค
- เรื่องการซ่อมรถยนต์ ฉันไม่ควรไปตักบาตรถามพระกับเขาหรอก เพราะเขาเป็นช่างยนต์มืออาชีพ รู้เรื่องพวกนี้ดีที่สุดแล้ว
- เธอไปถามอาจารย์ผู้เขียนตำราเล่มนั้นว่าในหนังสือเขียนไว้ว่าอย่างไร เหมือนกับตักบาตรถามพระเลยนะ เขาเป็นคนเขียนเองจะไม่รู้ได้อย่างไร
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี