ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ได้ผลไม่คุ้มกับที่ต้องเสียไป
การจัดทำสิ่งใดที่เป็นการโกลาหลโดยใช่เหตุหรือธุระที่ทำนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่น่าจะต้องลงทุนหรือเตรียมการใหญ่โตเกินต้องการเหมือนคนลงทุนมากได้ผลตอบแทนน้อย
ประเภทสำนวน
"ขี่ช้างจับตั๊กแตน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่ต้องมีการตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และมีโครงสร้างการเปรียบเทียบชัดเจน ต้องนำไปตีความถึงความไม่คุ้มค่าของการกระทำ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบถึงการลงทุนลงแรงมากเกินไปเพื่อผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย โดยการขี่ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ใช้ทรัพยากรมาก เพื่อไปจับตั๊กแตนซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กๆ มีค่าน้อยนิด แสดงถึงความไม่คุ้มค่าในการลงทุนลงแรง ทำให้เกิดการสูญเสียมากกว่าผลที่ได้รับ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" ในประโยค
- บริษัทตั้งแผนกใหม่และจ้างพนักงานเพิ่มหลายคนเพื่อดูแลลูกค้าเพียงไม่กี่ราย นี่มันขี่ช้างจับตั๊กแตนชัดๆ
- การที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"ขี่ช้างจับตั๊กแตน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่สื่อถึงพฤติกรรมการลงทุนมากเพื่อผลตอบแทนน้อย ความหมายต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรง และต้องเข้าใจความหมายเปรียบเทียบ
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้เปรียบเทียบการลงทุนหรือใช้ทรัพยากรที่มีมูลค่าสูง (ช้าง) เพื่อทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า (จับตั๊กแตน) สะท้อนถึงการกระทำที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนหรือความพยายาม เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่ต้องดูแลด้วยค่าใช้จ่ายสูง แต่กลับใช้เพียงเพื่อจับตั๊กแตนซึ่งมีค่าน้อยนิด
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" ในประโยค
- บริษัทลงทุนซื้อเครื่องจักรราคาหลายล้านเพื่อผลิตสินค้าที่ขายได้ไม่กี่บาท นี่มันขี่ช้างจับตั๊กแตนชัดๆ
- การที่จ้างที่ปรึกษาระดับสูงมาแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในออฟฟิศ ก็เหมือนกับขี่ช้างจับตั๊กแตนเลยนะ ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี
ประเภทสำนวน
"ขี่ช้างจับตั๊กแตน" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่สื่อความหมายโดยอ้อม ต้องตีความเพิ่มเติมจากลักษณะการเปรียบเปรย ไม่ใช่คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่มีความหมายพิเศษเหมือนสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
คำพังเพยนี้เปรียบเทียบการใช้ทรัพยากรหรือวิธีการที่ใหญ่โตเกินความจำเป็นเพื่อทำเรื่องเล็กน้อย เปรียบเหมือนการที่ขี่ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ใช้กำลังมาก แต่กลับใช้เพื่อไปจับตั๊กแตนที่เป็นแมลงเล็กๆ ซึ่งไม่คุ้มค่ากับเวลาและทรัพยากรที่เสียไป
ตัวอย่างการใช้สำนวน "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" ในประโยค
- การจ้างที่ปรึกษาราคาแพงมาช่วยแก้ปัญหาเล็กๆ ในบริษัทเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน เปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น
- ซื้อรถยนต์ราคาเป็นล้านเพื่อขับไปตลาดแค่ 500 เมตรทุกวัน นี่มันขี่ช้างจับตั๊กแตนชัดๆ
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี