การได้ประโยชน์กันในที่ลับไม่มีใครรู้ แต่ต่อมามีการขัดข้องกันจึงนำเรื่องที่เคยทำนั้นมาเปิดเผยให้หลายๆคนรับรู้ มักใช้ในเชิงชู้สาว
ความหมายเดียวกับ กินที่ลับไขที่แจ้ง
ประเภทสำนวน
"กินที่ลับขับที่แจ้ง" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นคำเปรียบเทียบพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม โดยมีความหมายแฝง ต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ใช่คำสอนโดยตรงแบบสุภาษิต และไม่ใช่วลีเฉพาะที่แปลตรงตัวไม่ได้แบบสำนวนไทย
ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง
สำนวนนี้สะท้อนการกระทำของคนที่ทำเรื่องที่ดี มีประโยชน์ หรือเรื่องที่น่ายกย่องอย่างลับๆ ไม่อยากให้ใครรู้ แต่กลับทำเรื่องไม่ดี น่าอับอาย หรือเสียหายอย่างเปิดเผยต่อหน้าธารณชน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่กลับกันกับที่ควรจะเป็น คนที่ดีควรจะทำความดีอย่างเปิดเผยเพื่อเป็นแบบอย่าง และเก็บเรื่องที่ไม่เหมาะสมไว้เป็นความลับ
ตัวอย่างการใช้สำนวน "กินที่ลับขับที่แจ้ง" ในประโยค
- นักการเมืองคนนั้นทำตัวกินที่ลับขับที่แจ้ง ชอบโอ้อวดการบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ แต่พอโกงเงินหลวงกลับทำกันเปิดเผย
- พี่คิดว่าเธอควรเปลี่ยนพฤติกรรมนะ อย่าเป็นคนกินที่ลับขับที่แจ้ง ถ้ามีอะไรดีๆ ก็ควรแบ่งปันให้คนอื่นรู้บ้าง แต่เรื่องไม่ดีก็อย่าเพิ่งนำมาเผยแพร่
สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน
สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา
คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี